ขนมไทย 5 ชนิด
1. ลอดช่องน้ำกะทิ
ส่วนผสม น้ำกะทิ
◆ น้ำตาลปี๊บ 3+1/2 ถึง 4 ถ้วย
◆ เกลือป่น 1 ช้อนชา
◆ กะทิ 5 ถ้วย
ส่วนผสม ตัวลอดช่อง
◆ ใบเตยหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1 ปอนด์
◆ น้ำปูนใส 9 1/2 -10 ถ้วย
◆ แป้งข้าวเจ้า 3 ถ้วย
◆ แป้งมันสำปะหลัง 1 ถ้วย
◆ แป้งถั่วเขียว 4 ช้อนโต๊ะ
◆ น้ำเย็นจัด
◆ น้ำแข็งทุบ
◆ น้ำตาลปี๊บ 3+1/2 ถึง 4 ถ้วย
◆ เกลือป่น 1 ช้อนชา
◆ กะทิ 5 ถ้วย
ส่วนผสม ตัวลอดช่อง
◆ ใบเตยหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1 ปอนด์
◆ น้ำปูนใส 9 1/2 -10 ถ้วย
◆ แป้งข้าวเจ้า 3 ถ้วย
◆ แป้งมันสำปะหลัง 1 ถ้วย
◆ แป้งถั่วเขียว 4 ช้อนโต๊ะ
◆ น้ำเย็นจัด
◆ น้ำแข็งทุบ
วิธีทำลอดช่อง
1. ทำน้ำกะทิโดยใส่น้ำตาลปี๊บ เกลือป่น และกะทิลงในอ่างผสม ใช้มือขยำส่วนผสมเข้าด้วยกันจนน้ำตาลปี๊บละลายเข้ากันดี กรองด้วยตะแกรง
2. นำส่วนผสมน้ำกะทิขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนน้ำกะทิใกล้เดือด (ให้ส่วนผสมเดือดเฉพาะตรงกลาง ไม่เดือดพล่าน เพื่อไม่ให้กะทิแตกมัน) ประมาณ 10-15 นาที ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้ (สามารถทำไว้ล่วงหน้าหรือทำทิ้งไว้ข้ามคืนได้)
3. ใส่ใบเตยลงในเครื่องปั่น ตามด้วยน้ำปูนใส 6-7 ถ้วย ปั่นจนละเอียด จากนั้นคั้นเอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
4. ใส่แป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งถั่วเขียวลงไปในน้ำใบเตย โดยปล่อยให้แป้งค่อย ๆ จมลงไปในน้ำจนหมด (เทคนิค : ปล่อยให้แป้งจมลงไปในน้ำเอง รอประมาณ 1 นาที โดยไม่ต้องคน เพื่อให้มั่นใจได้ว่า แป้งจะได้ไม่จับตัวเป็นก้อน และละลายเข้ากับน้ำทั้งหมด) พอแป้งจมลงหมดแล้ว ค่อย ๆ คนผสมจนเข้ากันดี จากนั้นกรองด้วยตะแกรง เตรียมไว้
5. ใส่ส่วนผสมลงในกระทะก้นลึกขนาดใหญ่ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง กวนผสมตลอดเวลา ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง พอแป้งเริ่มเหนียว ค่อย ๆ เทน้ำปูนใสที่เหลือลงไปจนหมด กวนจนส่วนผสมเหนียว และมีสีใส
6. ตักส่วนผสมแป้งใส่เครื่องกดลอดช่อง กดแป้งเป็นเส้น ๆ ลงในน้ำเย็นจัด จากนั้นตักส่วนผสมขึ้น ใส่ลงในถ้วย ตามด้วยน้ำกะทิที่เตรียมไว้ และน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ
1. ทำน้ำกะทิโดยใส่น้ำตาลปี๊บ เกลือป่น และกะทิลงในอ่างผสม ใช้มือขยำส่วนผสมเข้าด้วยกันจนน้ำตาลปี๊บละลายเข้ากันดี กรองด้วยตะแกรง
2. นำส่วนผสมน้ำกะทิขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนน้ำกะทิใกล้เดือด (ให้ส่วนผสมเดือดเฉพาะตรงกลาง ไม่เดือดพล่าน เพื่อไม่ให้กะทิแตกมัน) ประมาณ 10-15 นาที ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้ (สามารถทำไว้ล่วงหน้าหรือทำทิ้งไว้ข้ามคืนได้)
3. ใส่ใบเตยลงในเครื่องปั่น ตามด้วยน้ำปูนใส 6-7 ถ้วย ปั่นจนละเอียด จากนั้นคั้นเอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
4. ใส่แป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งถั่วเขียวลงไปในน้ำใบเตย โดยปล่อยให้แป้งค่อย ๆ จมลงไปในน้ำจนหมด (เทคนิค : ปล่อยให้แป้งจมลงไปในน้ำเอง รอประมาณ 1 นาที โดยไม่ต้องคน เพื่อให้มั่นใจได้ว่า แป้งจะได้ไม่จับตัวเป็นก้อน และละลายเข้ากับน้ำทั้งหมด) พอแป้งจมลงหมดแล้ว ค่อย ๆ คนผสมจนเข้ากันดี จากนั้นกรองด้วยตะแกรง เตรียมไว้
5. ใส่ส่วนผสมลงในกระทะก้นลึกขนาดใหญ่ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง กวนผสมตลอดเวลา ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง พอแป้งเริ่มเหนียว ค่อย ๆ เทน้ำปูนใสที่เหลือลงไปจนหมด กวนจนส่วนผสมเหนียว และมีสีใส
6. ตักส่วนผสมแป้งใส่เครื่องกดลอดช่อง กดแป้งเป็นเส้น ๆ ลงในน้ำเย็นจัด จากนั้นตักส่วนผสมขึ้น ใส่ลงในถ้วย ตามด้วยน้ำกะทิที่เตรียมไว้ และน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ
2. ขนมฟักทอง
ส่วนผสม ขนมฟักทอง
◆ ฟักทอง 500 กรัม (ปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้น ๆ)
◆ แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
◆ แป้งมันสำปะหลัง 1/4 ถ้วย
◆ มะพร้าวขูด 50 กรัม
◆ น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
◆ เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
◆ กะทิ 1 ถ้วย
◆ ถ้วยตะไล (สำหรับนึ่ง)
วิธีทำขนมฟักทอง
1. นำฟักทองไปนึ่งจนสุกแล้วนำออกมาพักทิ้งไว้จนเย็นสนิท
2. ใส่แป้งข้าวเจ้าและแป้งมันสำปะหลังลงในฟักทองที่นึ่งสุกแล้ว จากนั้นนวดผสมให้เข้ากัน
3. ใส่มะพร้าวขูด น้ำตาลทราย และเกลือป่นลงไปนวด จากนั้นค่อย ๆ เติมกะทิลงไปคนผสมจนเข้ากันดีและน้ำตาลทรายละลายหมด
4. ตักส่วนผสมใส่ถ้วยตะไลประมาณ 3/4 ของถ้วย จากนั้นนำไปนึ่ง (ในชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด) ประมาณ 15-20 นาที นึ่งจนแป้งสุกและใส ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
5. แคะขนมออกจากถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
◆ ฟักทอง 500 กรัม (ปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้น ๆ)
◆ แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
◆ แป้งมันสำปะหลัง 1/4 ถ้วย
◆ มะพร้าวขูด 50 กรัม
◆ น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
◆ เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
◆ กะทิ 1 ถ้วย
◆ ถ้วยตะไล (สำหรับนึ่ง)
วิธีทำขนมฟักทอง
1. นำฟักทองไปนึ่งจนสุกแล้วนำออกมาพักทิ้งไว้จนเย็นสนิท
2. ใส่แป้งข้าวเจ้าและแป้งมันสำปะหลังลงในฟักทองที่นึ่งสุกแล้ว จากนั้นนวดผสมให้เข้ากัน
3. ใส่มะพร้าวขูด น้ำตาลทราย และเกลือป่นลงไปนวด จากนั้นค่อย ๆ เติมกะทิลงไปคนผสมจนเข้ากันดีและน้ำตาลทรายละลายหมด
4. ตักส่วนผสมใส่ถ้วยตะไลประมาณ 3/4 ของถ้วย จากนั้นนำไปนึ่ง (ในชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด) ประมาณ 15-20 นาที นึ่งจนแป้งสุกและใส ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
5. แคะขนมออกจากถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
3. ขนมกล้วย
ส่วนผสม ขนมกล้วย
◆ กล้วยน้ำว้าสุก (บดละเอียด) 500 กรัม
◆ น้ำตาลทราย 100 กรัม
◆ เกลือป่น 1 ช้อนชา
◆ แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม
◆ แป้งมันสำปะหลัง 5 ช้อนโต๊ะ
◆ หัวกะทิ 200 มิลลิลิตร
◆ มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย
◆ ใบตองสำหรับห่อ (ถ้าไม่มีใบตองสามารถใช้ถ้วยตะไลได้)
วิธีทำขนมกล้วย
1. ผสมกล้วยน้ำว้ากับน้ำตาลทราย เกลือป่น แป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง หัวกะทิ และมะพร้าวขูด คนผสมให้เข้ากันดี
2. ตักส่วนผสมขนมกล้วยลงบนใบตอง แผ่บาง ๆ หรือจะทำเป็นทรงกรวยห่อเป็นทรงให้สวยงาม (หรือตักใส่ถ้วยตะไล) วางเรียงบนชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด นึ่งประมาณ 20 นาทีจนขนมสุก จากนั้นนำออกจากชุดนึ่ง พร้อมเสิร์ฟ
◆ กล้วยน้ำว้าสุก (บดละเอียด) 500 กรัม
◆ น้ำตาลทราย 100 กรัม
◆ เกลือป่น 1 ช้อนชา
◆ แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม
◆ แป้งมันสำปะหลัง 5 ช้อนโต๊ะ
◆ หัวกะทิ 200 มิลลิลิตร
◆ มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย
◆ ใบตองสำหรับห่อ (ถ้าไม่มีใบตองสามารถใช้ถ้วยตะไลได้)
วิธีทำขนมกล้วย
1. ผสมกล้วยน้ำว้ากับน้ำตาลทราย เกลือป่น แป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง หัวกะทิ และมะพร้าวขูด คนผสมให้เข้ากันดี
2. ตักส่วนผสมขนมกล้วยลงบนใบตอง แผ่บาง ๆ หรือจะทำเป็นทรงกรวยห่อเป็นทรงให้สวยงาม (หรือตักใส่ถ้วยตะไล) วางเรียงบนชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด นึ่งประมาณ 20 นาทีจนขนมสุก จากนั้นนำออกจากชุดนึ่ง พร้อมเสิร์ฟ
4. ขนมเข่ง
ส่วนผสม ขนมเข่ง
◆ แป้งข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
◆ น้ำสะอาด 1 ถ้วย
◆ น้ำตาลปี๊บ 1 กิโลกรัม
◆ มะพร้าวขูด 300 กรัม
◆ กระทงสำหรับใส่ขนม
◆ น้ำมันพืชสำหรับทากระทง
วิธีทำขนมเข่ง
1. ทากระทงด้วยน้ำมันพืชให้ทั่ว เตรียมไว้
2. นวดแป้งข้าวเหนียวกับน้ำจนแป้งนุ่ม จากนั้นใส่น้ำตาลปี๊บลงนวดให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว
3. ใส่มะพร้าวขูดลงคนผสมให้เข้ากัน ตักใส่กระทงประมาณ 3/4 ของกระทง
4. วางขนมเรียงลงในชุดนึ่ง จากนั้นนำไปนึ่งด้วยไฟแรงที่มีน้ำเดือด นานประมาณ 1/2 ชั่วโมง ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ใช้กรรไกรตัดเจียนกระทงที่เกินออกให้พอดีกับขนม พร้อมเสิร์ฟ
◆ แป้งข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
◆ น้ำสะอาด 1 ถ้วย
◆ น้ำตาลปี๊บ 1 กิโลกรัม
◆ มะพร้าวขูด 300 กรัม
◆ กระทงสำหรับใส่ขนม
◆ น้ำมันพืชสำหรับทากระทง
วิธีทำขนมเข่ง
1. ทากระทงด้วยน้ำมันพืชให้ทั่ว เตรียมไว้
2. นวดแป้งข้าวเหนียวกับน้ำจนแป้งนุ่ม จากนั้นใส่น้ำตาลปี๊บลงนวดให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว
3. ใส่มะพร้าวขูดลงคนผสมให้เข้ากัน ตักใส่กระทงประมาณ 3/4 ของกระทง
4. วางขนมเรียงลงในชุดนึ่ง จากนั้นนำไปนึ่งด้วยไฟแรงที่มีน้ำเดือด นานประมาณ 1/2 ชั่วโมง ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ใช้กรรไกรตัดเจียนกระทงที่เกินออกให้พอดีกับขนม พร้อมเสิร์ฟ
5. ตะโก้
ส่วนผสม หน้ากะทิ
◆ แป้งข้าวเจ้า 1/4 ถ้วยตวง
◆ กะทิ 2 ถ้วยตวง
◆ เกลือป่น 1 ช้อนชา
ส่วนผสม ตะโก้
◆ น้ำเปล่า 1 ถ้วย
◆ น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วย
◆ แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย
◆ แป้งมันสำปะหลัง 1/4 ถ้วย
◆ แป้งถั่วเขียว 2 ช้อนโต๊ะ
◆ น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วย (หรือน้ำสะอาด 2 ถ้วย ผสมน้ำหอมกลิ่นมะลิ 1/2 ช้อนชา)
◆ น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น 2 ช้อนโต๊ะ
◆ แห้วต้มสุก (หั่นเต๋าเล็ก) 1 ถ้วย
◆ กระทงใบเตยสำหรับใส่ขนม
วิธีทำหน้ากะทิ
ใส่แป้งข้าวเจ้า กะทิ และเกลือป่นลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟใช้ความร้อนปานกลาง คนผสมจนข้นและเหนียว ยกลงจากเตา เตรียมไว้หยอดลงบนขนมตะโก้
◆ แป้งข้าวเจ้า 1/4 ถ้วยตวง
◆ กะทิ 2 ถ้วยตวง
◆ เกลือป่น 1 ช้อนชา
ส่วนผสม ตะโก้
◆ น้ำเปล่า 1 ถ้วย
◆ น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วย
◆ แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย
◆ แป้งมันสำปะหลัง 1/4 ถ้วย
◆ แป้งถั่วเขียว 2 ช้อนโต๊ะ
◆ น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วย (หรือน้ำสะอาด 2 ถ้วย ผสมน้ำหอมกลิ่นมะลิ 1/2 ช้อนชา)
◆ น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น 2 ช้อนโต๊ะ
◆ แห้วต้มสุก (หั่นเต๋าเล็ก) 1 ถ้วย
◆ กระทงใบเตยสำหรับใส่ขนม
วิธีทำหน้ากะทิ
ใส่แป้งข้าวเจ้า กะทิ และเกลือป่นลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟใช้ความร้อนปานกลาง คนผสมจนข้นและเหนียว ยกลงจากเตา เตรียมไว้หยอดลงบนขนมตะโก้
วิธีทำตะโก้
1. ใส่น้ำเปล่าลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทรายลงไปคนให้ละลาย ต้มจนเดือดและเหนียวเป็นน้ำเชื่อม พักไว้จนเย็น
2. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง แป้งถั่วเขียว น้ำลอยดอกมะลิ และน้ำใบเตยจนละลายเข้ากันดี เทใส่ลงในส่วนผสมน้ำเชื่อม กวนผสมจนแป้งสุกเหนียวและใส จากนั้นใส่แห้วลงคนผสมให้เข้ากัน ยกลงจากเตา
3. ตักใส่กระทงใบเตยที่เตรียมไว้ประมาณ 3/4 ของกระทง ตามด้วยหน้ากะทิจนเต็มพิมพ์ พักทิ้งไว้จนอุ่น จัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
1. ใส่น้ำเปล่าลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทรายลงไปคนให้ละลาย ต้มจนเดือดและเหนียวเป็นน้ำเชื่อม พักไว้จนเย็น
2. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง แป้งถั่วเขียว น้ำลอยดอกมะลิ และน้ำใบเตยจนละลายเข้ากันดี เทใส่ลงในส่วนผสมน้ำเชื่อม กวนผสมจนแป้งสุกเหนียวและใส จากนั้นใส่แห้วลงคนผสมให้เข้ากัน ยกลงจากเตา
3. ตักใส่กระทงใบเตยที่เตรียมไว้ประมาณ 3/4 ของกระทง ตามด้วยหน้ากะทิจนเต็มพิมพ์ พักทิ้งไว้จนอุ่น จัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น